บีบแตรไม่มีกาลเทศะ โดนปรับมั้ยผิดกฎหมายยังไง?

237 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บีบแตรไม่มีกาลเทศะ โดนปรับมั้ยผิดกฎหมายยังไง?

การบีบแตรโดยไม่มีกาลเทศะหรือบีบแตรในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมอาจถือว่าผิดกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องมีไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและลดความรำคาญในสังคม ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้แก่

 

1. พระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522

  • มาตรา 43 (9) ระบุว่าห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น การบีบแตรโดยไม่จำเป็นอาจถือเป็นการรบกวนหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เช่น บีบแตรในย่านชุมชนโดยไม่มีเหตุอันควร

2. กฎหมายเกี่ยวกับเสียงรบกวน

  • การบีบแตรในลักษณะที่เสียงดังเกินสมควร อาจถือเป็นการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางเสียง ซึ่งอาจเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการดำเนินการตามกฎหมาย

3. โทษ

  • หากการกระทำดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายจราจรหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ผู้กระทำอาจถูกปรับตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยค่าปรับอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของการกระทำและดุลพินิจของเจ้าหน้าที่

4. แนวปฏิบัติที่เหมาะสม

  • บีบแตรเฉพาะในกรณีที่จำเป็น เช่น เพื่อเตือนอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น หรือเพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้ถนนคนอื่นในสถานการณ์ที่อาจเกิดอันตราย
  • หลีกเลี่ยงการบีบแตรในพื้นที่ที่มีการห้าม เช่น ใกล้โรงพยาบาล สถานที่ราชการ หรือพื้นที่อยู่อาศัยในช่วงกลางคืน

หากพบว่ามีการบีบแตรโดยไม่เหมาะสมจนรบกวนความสงบ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการตามกฎหมายได้

 

ระยะที่ควรได้ยินเสียงบีบแตร

ในประเทศไทย ระยะที่ควรได้ยินเสียงบีบแตรของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และระเบียบข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะ

1.  ข้อกำหนดทั่วไป
มาตรา 8 ของพระราชบัญญัติการจราจรทางบก ระบุว่า "เสียงสัญญาณต้องสามารถได้ยินได้ในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร"

  • หมายความว่าเสียงแตรที่ติดตั้งในรถยนต์ต้องดังเพียงพอที่ผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ จะได้ยินในระยะทางนี้ เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนหรือป้องกันอุบัติเหตุได้

2. ข้อจำกัดเกี่ยวกับระดับเสียง

  • ระดับเสียงของแตรไม่ควรดังเกินไปจนก่อให้เกิดการรบกวนหรือเสียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อื่น
  • มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) 2147-2546 ระบุว่าเสียงแตรรถยนต์ควรอยู่ในช่วง 87-112 เดซิเบล (A) ที่ระยะ 2 เมตร
  • หากดังเกินไป อาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษทางเสียง

3. การปฏิบัติที่เหมาะสม

  • ตรวจสอบว่าแตรรถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
  • ใช้แตรในกรณีจำเป็นเท่านั้น เช่น การเตือนเมื่อมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  • หลีกเลี่ยงการปรับแต่งแตรให้เสียงดังเกินมาตรฐาน หรือใช้แตรที่มีลักษณะเสียงที่อาจสร้างความรำคาญ (เช่น แตรเสียงแปลก ๆ)

4. หากแตรเสียงเบาหรือไม่ได้ยินในระยะ 60 เมตร

  • ควรตรวจสอบและซ่อมบำรุงแตรโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ
  • แตรที่เสียงเบาเกินไปอาจทำให้ขาดประสิทธิภาพในการใช้งานและอาจผิดกฎหมาย.

 

บีบแตรสามช่า-บีบลากยาว

การบีบแตรในลักษณะพิเศษ เช่น แตรสามช่า หรือ การบีบแตรลากยาว อาจมีความแตกต่างจากการบีบแตรปกติในแง่ของวัตถุประสงค์และผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยมีข้อพิจารณาทางกฎหมายและมารยาทดังนี้:

1. บีบแตรสามช่า
แตรสามช่าคือการบีบแตรที่มีเสียงเป็นจังหวะสนุกสนาน มักใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น ขบวนแห่หรือการเฉลิมฉลอง

ข้อพิจารณา

กฎหมาย

  • หากแตรดังเกินระดับเสียงที่กำหนด (เช่น 87-112 เดซิเบล) หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นในพื้นที่สาธารณะ อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษทางเสียง หรือ มาตรา 43 (9) ของพระราชบัญญัติการจราจรทางบก ที่ห้ามการขับรถโดยก่อความเดือดร้อน

มารยาท

  • ควรใช้เฉพาะในโอกาสที่เหมาะสม เช่น ในขบวนแห่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต หรือในบริเวณที่ไม่มีผู้อื่นรบกวน

2. การบีบแตรลากยาว

  • การบีบแตรในลักษณะลากเสียงยาวอาจใช้เพื่อแสดงอารมณ์ เช่น ความไม่พอใจ หรือเตือนผู้ขับขี่คนอื่นในกรณีที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ

ข้อพิจารณา
กฎหมาย

  • การบีบแตรลากยาวโดยไม่มีความจำเป็น อาจถือว่าผิดกฎหมายเช่นเดียวกับกรณีอื่น ๆ ที่เสียงแตรก่อความเดือดร้อน
  • หากบีบแตรลากยาวในบริเวณใกล้โรงพยาบาล วัด หรือสถานที่ที่ต้องการความสงบ อาจเข้าข่ายละเมิดข้อบังคับเฉพาะพื้นที่

มารยาท

  • การบีบแตรลากยาวอาจสร้างความเข้าใจผิดหรือทำให้ผู้อื่นเกิดความเครียด ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานในลักษณะนี้โดยไม่จำเป็น

3. ผลกระทบ

  • เสียงรบกวน : อาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงและสร้างความไม่พอใจในสังคม
  • ความปลอดภัย : การใช้แตรที่ผิดวิธีอาจทำให้ผู้ขับขี่หรือผู้เดินถนนตกใจและเกิดอุบัติเหตุได้

4. ข้อแนะนำ

  • ใช้แตรในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานและมีจุดประสงค์เพื่อเตือนความปลอดภัยเท่านั้น
  • หลีกเลี่ยงการปรับแต่งแตรที่มีเสียงแปลก ๆ หรือดังเกินมาตรฐาน
  • หากต้องการใช้แตรในงานพิเศษ เช่น ขบวนแห่ ควรขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

การใช้แตรอย่างเหมาะสมไม่เพียงแค่ช่วยรักษากฎหมาย แต่ยังแสดงถึงความมีน้ำใจและความรับผิดชอบในสังคม.

 

สถานการณ์แบบไหนที่ควรบีบแตร?

การบีบแตรเป็นวิธีสื่อสารที่สำคัญระหว่างผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมและจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนหรือก่อให้เกิดความไม่พอใจในสังคม สถานการณ์ที่ควรบีบแตร ได้แก่:

1.  เพื่อเตือนให้หลีกเลี่ยงอันตราย

  • เมื่อมีรถหรือคนเดินถนนตัดหน้ากะทันหัน : บีบแตรเพื่อเตือนให้พวกเขารู้ตัวและหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
  • เมื่อรถคันอื่นเปลี่ยนเลนโดยไม่ให้สัญญาณ : เตือนให้ผู้ขับขี่ทราบถึงตำแหน่งของคุณ
  • เตือนผู้ที่กำลังถอยรถหรือออกจากซอย : เพื่อป้องกันการชนหรืออุบัติเหตุ

2. เพื่อแจ้งเตือนในจุดอับสายตา

  • ในโค้งแคบ : บีบแตรเพื่อเตือนรถที่อาจสวนมาในจุดที่มองไม่เห็น
  • บริเวณทางแยกหรือซอยแคบ : แจ้งเตือนผู้ขับขี่หรือคนเดินถนนที่อยู่ในทางตรงข้าม

3. ในกรณีฉุกเฉิน

  • เมื่อมีเหตุการณ์ที่อาจเป็นอันตราย : เช่น รถเสียหลักหรือมีสิ่งกีดขวางบนถนน บีบแตรเพื่อเตือนผู้ขับขี่คนอื่น
  • เตือนสัตว์ที่อยู่บนถนน : เพื่อให้สัตว์หลบพ้นจากทางจราจร

4. เพื่อส่งสัญญาณให้คนอื่นทราบ

  • แจ้งให้รถที่จอดอยู่ข้างหน้าเคลื่อนตัว : เช่น รถจอดปิดถนนหรือจอดขวางในจุดที่ไม่ควร
  • เตือนรถคันหน้าเมื่อไฟเขียว : หากรถคันหน้าล่าช้าหลังไฟสัญญาณเปลี่ยน ควรบีบแตรเบา ๆ เพื่อแจ้งเตือน

5. ในกรณีอื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาต

  • การใช้ในขบวนแห่หรือกิจกรรมพิเศษ : เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
  • การส่งสัญญาณเพื่อความปลอดภัยในสถานการณ์ที่อาจคับขัน : เช่น การขับรถในยามค่ำคืนบนถนนเปลี่ยว

6. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • ไม่ควรบีบแตรเพื่อแสดงความไม่พอใจหรือความโกรธ เช่น ในกรณีที่มีการตัดหน้าหรือขับขี่ช้า
  • หลีกเลี่ยงการบีบแตรในพื้นที่ที่ต้องการความสงบ เช่น โรงพยาบาล วัด โรงเรียน หรือย่านชุมชน
  • ไม่บีบแตรโดยไม่มีเหตุผล เช่น เพื่อทักทายเพื่อน หรือแสดงความดีใจในที่สาธารณะ

การบีบแตรอย่างมีเหตุผลและพอเหมาะแสดงถึงความมีน้ำใจและการคำนึงถึงผู้อื่นบนท้องถนน ช่วยส่งเสริมความปลอดภัยและลดความขัดแย้งในสังคม

 

เปลี่ยนเสียงแตร ผิดกฎหมายจราจรหรือไม่?

การเปลี่ยนเสียงแตรของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายจราจรในประเทศไทย หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เป็นไปตามมาตรฐานหรือกฎหมายที่กำหนดไว้ โดยรายละเอียดที่ควรรู้มีดังนี้

1. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522

มาตรา 12 : ระบุว่ารถยนต์ที่ใช้บนถนนต้องมีอุปกรณ์ส่วนควบครบถ้วนและอยู่ในสภาพใช้งานได้ดีตามที่กฎกระทรวงกำหนด รวมถึงสัญญาณเสียงแตร
มาตรา 60 : ห้ามมิให้เปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงรถยนต์ หากการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้มีลักษณะผิดไปจากที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

  • เสียงแตรต้องได้ยินชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 60 เมตร และระดับเสียงต้องไม่ดังเกินมาตรฐานที่กำหนด
  • เสียงแตรต้องมีลักษณะสุภาพ ไม่ใช่เสียงที่อาจรบกวนหรือสร้างความเดือดร้อน เช่น เสียงแตรแบบเพลง เสียงสัตว์ หรือเสียงแปลก ๆ

2. ข้อกำหนดด้านมาตรฐานเสียง

  • เสียงแตรต้องอยู่ในช่วง 87-112 เดซิเบล (A) ที่ระยะห่าง 2 เมตร (ตามมาตรฐาน มอก. 2147-2546)
  • เสียงที่ดังกว่า หรือมีลักษณะผิดปกติ เช่น เสียงแตรที่ยาวเกินไป เสียงเพลง หรือเสียงที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือกรมการขนส่งพิจารณาว่าผิดกฎหมาย

3. โทษสำหรับการดัดแปลงแตร

  • การดัดแปลงเสียงแตรให้ผิดมาตรฐาน อาจมีความผิดตาม มาตรา 148 ของพระราชบัญญัติการจราจรทางบกโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
  • หากการดัดแปลงส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาความปลอดภัย อาจต้องรับโทษที่รุนแรงขึ้น

4. ข้อยกเว้น

  • หากมีการดัดแปลงเพื่อความปลอดภัย หรือใช้ในกรณีพิเศษ เช่น รถพยาบาล รถตำรวจ หรือรถดับเพลิงที่ติดตั้งเสียงไซเรนตามกฎหมาย ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน

คำแนะนำ
1.  หากต้องการเปลี่ยนแปลงเสียงแตร ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ด้านกฎหมายจราจร
2. ตรวจสอบว่าแตรที่เปลี่ยนแปลงนั้นได้รับการรับรองมาตรฐาน (เช่น มอก.) และไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนเกินสมควร
3. หลีกเลี่ยงการใช้เสียงแตรที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น เสียงเพลง หรือเสียงที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด

สรุป
การเปลี่ยนเสียงแตรผิดกฎหมายหากเสียงที่ดัดแปลงนั้นไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด หรือก่อให้เกิดความรำคาญและปัญหาความปลอดภัย ควรใช้เสียงแตรที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อป้องกันปัญหาและส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้ถนน.

 

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 
โทรหาศูนย์บริการลูกค้า ธีร์ ทำดีแคร์ 096-192-9698


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้