ประกันชั้น 1: คุ้มครองภัยธรรมชาติ
ถ้าเราทำ ประกันรถยนต์ชั้น 1
- จะคุ้มครองรถเสียหายจาก น้ำท่วม, พายุ, ลูกเห็บ, ดินโคลนถล่ม และภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการชน
- บริษัทประกันจะจ่ายค่าซ่อมตามวงเงินที่ระบุในกรมธรรม์
ตัวอย่าง:
- รถจอดในบ้านแล้วน้ำท่วม → คุ้มครอง
- หลังคาบ้านปลิวมาตกใส่รถเพราะพายุ → คุ้มครอง
ประกันชั้น 2+, 3+, และชั้น 3
- ส่วนใหญ่ จะไม่คุ้มครองภัยธรรมชาติ
- ประกันชั้น 2+ และ 3+ คุ้มครองเฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบก และกรณีรถหายหรือไฟไหม้ (แล้วแต่กรมธรรม์)
- ถ้าอยากได้คุ้มครองภัยธรรมชาติ ต้องซื้อประกันชั้น 1 หรือซื้อ ความคุ้มครองเพิ่มเติม (Optional Coverage) จากบางบริษัท
ต้องระวังอะไรบ้าง?
- ถ้ารถจมน้ำแล้วพยายามสตาร์ทเอง → อาจทำให้เครื่องยนต์พังเสียหายเพิ่ม
- ในบางกรณี บริษัทประกันอาจไม่จ่ายเต็ม ถ้าประเมินว่าเป็นความเสียหายที่เจ้าของรถ “จงใจ” ทำให้เกิด
- ถ้าอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ควรจอดรถในที่สูงหรือติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันน้ำเข้ารถ
วิธีเคลมกรณีภัยธรรมชาติ
- ถ่ายรูปความเสียหาย ให้ชัดเจน (รอบคันและจุดที่เสียหาย)
- โทรแจ้งบริษัทประกันทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดู
- อย่าสตาร์ทรถ ถ้ารถจมน้ำ
- รอประเมินค่าเสียหาย และซ่อมตามเงื่อนไขของกรมธรรม์
ควรตรวจสอบก่อนทำประกัน
- ดูในกรมธรรม์ว่าครอบคลุมภัยธรรมชาติหรือไม่
- ถ้าอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ใกล้แม่น้ำ หรือถนนที่น้ำท่วมบ่อย แนะนำให้เลือกประกันชั้น 1
- สอบถามตัวแทนหรือโบรกเกอร์ให้ชัดเจนเรื่องความคุ้มครอง
สรุป
- ประกันชั้น 1 ส่วนใหญ่คุ้มครองภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุ ลูกเห็บ
- ประกันชั้น 2+, 3+, และชั้น 3 ส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครอง เว้นแต่ซื้อความคุ้มครองเพิ่ม
- เพื่อความสบายใจ ควรอ่านกรมธรรม์ให้ละเอียด และเลือกประกันที่เหมาะกับพื้นที่และความเสี่ยงของเรา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 
โทรหาศูนย์บริการลูกค้า ธีร์ ทำดีแคร์ 096-192-9698